วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

การออกแบบคานคอนกรีตเสริมเหล็ก (Design of Reinforced Concrete Beam)

คาน (Beam) เป็นโครงสร้างหลักของอาคารซึ่งทำหน้าที่รองรับน้ำหนักบรรทุกต่างๆ จากพื้น ผนัง ฯลฯ เพื่อส่งถ่ายน้ำหนักบรรทุกรวมทั้งหมดลงสู่เสาต่อไป ซึ่งสักษณะของคานคอนกรีตเสริมเหล็กโดยทั่วไป จะมีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทั้งนี้เมื่อคานได้รับแรงกระทำ (น้ำหนักบรรทุก) ก็จะก่อให้เกิดหน่วยแรงต่างๆขึ้นบนหน้าตัด เช่น แรงดัด แรงเฉือน และแรงบิด ดังนั้นคานก็จะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับหน่วยแรงที่เกิดขึ้นโดยการเสริมเหล็กเพื่อมารับแรงดึง (สมมุติให้คอนกรีตไม่สามารถรับแรงดึงได้) แรงเฉือน (เหล็กปลอกหรือเหล็กคอม้า) และแรงอัด (ในกรณีที่คอนกรีตไม่สามารถรับได้ทั้งหมด)
โครงสร้างของคานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  • คานอย่างง่าย เช่น คานช่วงเดียว คานยื่น
  • คานอย่างยาก เช่น คานต่อเนื่อง คานรับแรงบิด
ข้อกำหนดในการออกแบบคานคอนกรีตเสริมเหล็ก วิธีหน่วยแรงใช้งาน
1. ความลึกของคานขั้นต่ำ (กรณีไม่ได้คำนวณหาระยะการโก่งตัว) ตามมาตรฐาน วสท. 1007-34
  • L/16 สำหรับคานช่วงเดียว
  • L/18.5 สำหรับคานสองช่วง
  • L/21 สำหรับคานสามช่วงขึ้นไป
  • L/8 สำหรับคานยื่น
2. ประมาณอัตราส่วนของหน้าตัดคานจาก ความกว้างของคาน : ความลึกของคาน (1:2, 1:3) เช่น 0.15 x 0.30, 0.20 x 0.60 เป็นต้น
3. ประมาณความลึกของคานเทียบกับความยาวของคานเป็น 1:10 เช่น คานยาว 5 เมตร ก็ควรจะมีความลึกประมาณ 0.5 เมตร เป็นต้น (เลือกพิจารณาตามความเหมาะสม)
4. ความกว้างของหน้าตัดคานไม่ควรกว้างกว่าหน้าตัดเสาที่รองรับ
5. เหล็กเสริมหลักต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เล็กกว่า 9 มม.
6. ในกรณีที่มีการเสริมเหล็กตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป ช่องว่างระหว่างเหล็กเสริมแต่ละชั้นจะต้องไม่น้อยกว่า 2.5 ซม. และจะต้องพยายามเรียงให้ตรงกับเหล็กเสริมชั้นล่าง
7. เหล็กปลอกต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เล็กกว่า 6 มม. ระยะห่างของเหล็กปลอกไม่ควรมากกว่าความกว้างของคาน หรือครึ่งหนึ่งของความลึกคาน หรือ 16 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็กเสริมหลัก หรือ 48 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็กปลอก ทั้งนี้ให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีค่าน้อยที่สุด
8. ระยะทาบของเหล็กเสริมและระยะหุ้มของคอนกรีตให้เป็นไปตามมาตรฐาน วสท. 1007-34

www.civilclub.net

 

การก่อสร้างบ้านดิน

ขั้นตอนในการดำเนินการก่อสร้างบ้านดินขั้นตอนในการก่อสร้างบ้านดิน อาจจะแตกต่างจากการก่อสร้างบ้านทั่วไป เนื่องจากบ้านดินไม่มีระบบโครงสร้าง บ้านดินใช้กำแพงรับน้ำหนัก เพื่อให้การดำเนินการ ก่อสร้างกระชับ ทำได้รวดเร็ว การดำเนินการก่อสร้างบ้านดินมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน
พื้นที่สำหรับทำบ้านดิน ควรเป็นพื้นที่ ที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่ใช่ทางน้ำไหลบ่า หากเป็นพื้นที่ถมดินใหม่ควรถมทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี หรือผ่านช่วงฤดูฝนสัก 1 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 2 การทำอิฐดิน
การทำอิฐดินสำหรับผู้ที่ออกแรงเป็นประจำจะทำอิฐดินได้วันละ 70 - 100 ก้อน การตากอิฐดินใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน เมื่อตากอิฐได้ประมาณ 2-3 วันให้พลิกอิฐขึ้นตั้งทางด้านแนวนอน และทำการแต่งก้อนอิฐในช่วงเวลานี้ จะมีฝุ่นกระจายออกมาน้อย เมื่ออิฐแห้งสนิทดีแล้วควรนำอิฐมากองรวมกันไว้กลางบ้าน เพื่อสะดวกและก่อกำแพงได้รวดเร็ว การขนย้ายควร ทำเพียงครั้งเดียว จากบริเวณตากอิฐมาที่กลางบ้าน

ขั้นตอนที่ 3 การทำรากฐานบ้าน
การทำรากฐานบ้านดิน ควรทำรากฐานให้เสร็จและถมดินให้เรียบร้อยก่อนขนย้ายอิฐดินขึ้นมากองไว้กลางบ้าน

ขั้นตอนที่ 4 การก่อกำแพงบ้าน
หลังจากที่นำอิฐดินมากองไว้กลางบ้านเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกของการก่อกำแพงบ้านจะเร็ว หากก่อขึ้นสูง การทำงานอาจจะช้าลงเพราะ ต้องส่งอิฐดินขึ้นสูง ช่วงนี้อาจติดตั้งวงกบประตูหน้าต่างได้ หรืออาจจะเว้นช่องเอาไว้ติดตั้งในช่วงฉาบ แรงงาน 3 คนสามารถก่ออิฐดินได้วันละ 300 - 500 ก้อน

ขั้นตอนที่ 5 การขุดบ่อส้วม
ในระหว่างที่ดำเนินการก่อกำแพงบ้าน หากช่วงเย็น วัสดุที่เตรียมไว้สำหรับก่อหมดอาจใช้ช่วงเวลานั้นขุดบ่อส้วมได้ หรืออาจจะขุดหลังจากที่ก่อกำแพงเสร็จ

ขั้นตอนที่ 6 การเดินระบบไฟฟ้า ท่อน้ำดี ท่อน้ำเสีย
ก่อนฉาบบ้าน ควรดินท่อน้ำดี น้ำเสีย ท่อส้วมให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลา เจาะกำแพงหลังจากที่ฉาบเสร็จ

ขั้นตอนที่ 7 ฉาบกำแพงบ้าน
การฉาบกำแพงบ้าน ควรฉาบก่อนที่จะขึ้นโครงสร้างหลังคา เพราะหลังจากที่ฉาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้กำแพงบ้านมีความแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยให้แดดส่องกำแพงบ้านได้เต็มที่ ช่วยให้ดินที่ฉาบแห้งเร็ว
ขั้นตอนที่ 8 ทำโครงสร้างหลังคา
โครงสร้างหลังคา จะมีส่วนที่เชื่อมโยงกับกำแพงบ้าน อาจจะทำโครงสร้างหลังคาไปพร้อมกับงานฉาบได้ หลังจากที่วางอะเส ของโครงสร้างหลังคาเสร็จแล้ว อาจใช้ดินผสมฟางฉาบปิดอะเส เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

ขั้นตอนที่ 9 มุงหลังคา
การมุงหลังคาบ้าน ควรมุงหลังจากกำแพงบ้านแห้งสนิทดีแล้ว จะช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น

ขั้นตอนที่ 10 ทำเพดานบ้าน
หลังจากมุงหลังคาบ้านเสร็จสิ้น ดำเนินการทำโครงสร้างเพดานและติดตั้งเพดานให้เสร็จสิ้น รวมทั้งทาสีเรียบให้เรียบร้อย จะช่วยให้ไม่ต้องย้ายนั่งร้านหลายครั้ง

ขั้นตอนที่ 11 ฉาบสี
หลังจากทำเพดานบ้านเสร็จสิ้น เริ่มต้นทาสีกำแพงบ้าน ควรเริ่มด้านในบ้านก่อน เพราะภายในบ้าน จะได้รับแสงแดดน้อย และอากาศทายเทได้ไม่ดีเท่าบริเวณนอกบ้าน จะทำให้สีแห้งช้า เมื่อฉาบสีด้านในบ้านเสร็จเรียบร้อย อาจจะเก็บรายละเอียดบริเวณขอบประตูหน้าต่างอีกครั้งแล้วทำการฉาบสีพื้นบ้านหรือปูกระเบื้องหากต้องการ

ขั้นตอนที่ 12 เทพื้น
การเทพื้น หากเป็นพื้นดิน อาจจะเทพื้นทิ้งไว้หลังจากฉาบกำแพงบ้านเรียบร้อยแล้ว เพราะพื้นดินจะใช้เวลานานกว่าที่จะแห้งสนิท อาจใช้เวลาอย่างน้อย 1 อาทิตย์ หากยังไม่ได้มุงหลังคาจะช่วยให้พื้นแห้งไวขึ้น หากเป็นพื้นปูนสามารถเทหลังจากที่ทาสีบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้ไม่ต้องจัดการกับสีที่ฉาบและร่วงลงมามากนัก

ขั้นตอนที่ 13 ติดตั้งบานประตู หน้าต่าง
หลังจากฉาบสีและเทพื้น เสร็จสิ้นแล้ว ทำการติดประตูหน้าต่างและทาสี ควรหากระดาษหรือผ้ายางรองพื้นกันสีตกลงพื้น

ขั้นตอนที่ 14 ติดตั้งหลอดไฟ ติดตั้งสุขภัณฑ์
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการ ติดตั้งระบบไฟฟ้า ก๊อกน้ำ ชักโครก

          

งานถนน

การสร้างถนน
การสร้างถนนจะประกอบด้วยขั้นตอนหลักสองส่วน คือ ส่วนการออกแบบ และส่วนการก่อสร้าง การออกแบบถนนจะมีการคำนวณในหลายด้านรวมถึงการหาแนวเขตที่ดิน การออกแบบรูปร่างของถนนทั้งในแนวระดับ และแนวดิ่ง การคำนวณมุมมองที่ปลอดภัยและวิสัยทัศน์ของผู้ขับขี่ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยจะต้องไม่มีมุมอับ หรือสิ่งกีดขวางมาบังการมองเห็น และการคำนวณทิศทางการระบายน้ำของในพื้นที่นั้น เพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมเนื่องจากถนนที่สร้างใหม่มาขวางทางน้ำเดิม สำหรับส่วนการก่อสร้างถนนจะเริ่มต้นจากการขุดดินหรือถมดินเพื่อให้ได้ระดับใกล้เคียงกับที่ออกแบบ โดยบริเวณที่เป็นอุโมงค์และสะพานจะมีโครงสร้างพิเศษสำหรับรองรับสิ่งก่อสร้างนั้น
งานก่อสร้างถนน
งานถนนคอนกรีต
ลานจอดรถบรรทุก
เทคอนกรีต
www.wongthip.com

งานโครงสร้าง

งานด้านโครงสร้าง งานด้านโครงสร้างนี้จะเริ่มตั้งแต่ การทำโครงสร้างของฐานราก อันได้แก่ การลงเสาเข็ม และ การหล่อ ตอม่อ เพื่อรองรับโครงสร้างของเสา และคานที่จะต้องทำ อย่างต่อเนื่องเป็นขั้น ตอนถัดไป หลังจากนั้น ก็จะเป็นงานโครงสร้างของ พื้นและบันไดซึ่งจะต้องเชื่อมต่อ กับเสาและ คาน ที่ได้ทำไว้แล้ว โดยการทำพื้น จะต้องเริ่มทำจากชั้นล่างไล่ขึ้น ไปหาชั้นบนเพื่อความสะดวก ในการทำงาน และการลำเลียงวัสดุต่อจากนั้น ก็จะเป็นงานโครงสร้างของหลังคา ซึ่งในปัจจุบันส่วน ใหญ่มักจะทำเป็น โครงเหล็กโดยเชื่อมต่อกับ เสาและคานชั้นบนสุด หลังจากการทำโครงหลังคา อันเป็น งานโครงสร้าง ส่วนสุดท้าย ของตัวบ้านแล้ว ก็มักจะต่อด้วย การมุงหลังคาเลย เพื่อทำหน้าที่คุ้ม แดดคุ้มฝนให้แก่ ตัวบ้านซึ่งจะสร้าง ในลำดับถัดไป นอกจากนี้ ยังมี งานโครงสร้างของรั้ว ซึ่งอาจจะ ทำก่อน ทำภายหลัง หรือทำไปพร้อม ๆ กับงานโครงสร้าง ของตัวบ้านก็ได้แล้ว แต่กำลังคนและ ความสะดวก เนื่องจาก เป็นส่วนที่ แยกจากตัวบ้าน แต่ถ้าเป็น บ้านที่มีเนื้อที่จำกัด จำเป็นต้อง สร้างตัวบ้านให้ชิดกับรั้ว ก็มักจะทำรั้วภายหลัง เพื่อความสะดวก ในการจัดวาง และลำเลียง วัสดุก่อสร้าง ในระหว่าง การก่อสร้างตัวบ้าน ในขั้นตอนของ งานโครงสร้างนี้มีข้อสังเกตบางอย่าง กล่าวคือ อาจมีงานหรือขั้นตอนอื่น ที่จะต้องทำ หรือเตรียมการในช่วงจังหวะนี้ ที่พบเห็นกันบ่อย และถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้านทั่วไป นั่นคือการฉีดยาป้องกันปลวก ไม่ว่าจะใช้ระบบการวางท่อน้ำยาหรือใช้ระบบการฉีดยาให้ซึมลงไป ในดินโดยตรง จะต้องทำก่อนการทำพื้นชั้นล่างของตัวบ้าน โดยเฉพาะระบบการวางท่อน้ำยาซึ่งจะ ต้องเดินท่อโดยยึดกับคานคอดิน เพราะหลังจากทำพื้นชั้นล่างแล้ว จะไม่สามารถเดินท่อได้เลย ถ้าจะ คิดทำในภายหลังจะทำได้อย่างมากก็เป็น การเจาะพื้นแล้วฉีดน้ำยา ลงไปบนผิวดินด้างล่าง ซึ่งอาจก่อ ให้เกิดความเสียหาย ไม่สวยงาม และได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร อีกจุดหนึ่งที่ต้องระวังก็คือ การวางตำแหน่ง และการเดินท่อประปา เนื่องจากในปัจจุบัน บ้านส่วนใหญ่นิยมเดินท่อประปา ระบบฝังใต้พื้นเพื่อความสวยงาม ดังนั้นก่อนการเทพื้นจะต้องแน่ ใจว่าการวางแนวท่อต่างๆ ทำไว้อย่างเรียบร้อย และสอดคล้อง กับตำแหน่งของก๊อกน้ำต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ หรือถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข อย่างไรก็ต้องรีบทำ ในขั้นตอนนี้ก่อนที่จะทำการ เทพื้นกลบแนวท่อ เพราะถ้าเกิดการผิดพลาดขึ้น การแก้ไขจะทำได้ลำบาก นอกจากนี้ ในขั้นตอนการมุงหลังคาก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องเตรียมการในกรณีที่ต้องการติดตั้ง วัสดุป้องกันความร้อนใต้กระเบื้องหลังคา ก็จะต้องกำหนดไว้ก่อนและทำไปพร้อม ๆ กับขั้นตอนของ การมุงหลังคาเลย
งานด้านโครงสร้าง
โครงสร้างของบ้านเป็นสิ่งที่จะกำหนดรูปร่าง เค้าโครง ขนาด รวมทั้งความมั่นคงแข็งแรงของตัวบ้านซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ
มาก บ้านที่เกิดความบกพร่องด้านการตกแต่งอาจแก้ไขในภายหลังได้โดยไม่ยาก แต่สำหรับบ้านที่เกิดความบกพร่องด้านการตกแต่งอาจ
แก้ไขในภายหลังได้โดยไม่ยาก แต่สำหรับบ้านที่เกิดความบกพร่องด้านโครงสร้างจะทำการแก้ไขได้ยากหรืออาจทำการแก้ไขไม่ได้เลย
เพราะการแก้ไขด้านโครงสร้างมักจะต้องใช้วิธีรื้อถอนหรือทุบทำลาย (destructive correction) แล้วค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ มิใช่เป็น
แก้ที่เปลือกนอกหรือผิวนอก โครงสร้างของบ้านที่ดีจะต้องทำอย่างถูกต้อง เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ ตลอดจน
ถึงกรรมวิธีการปลูกสร้าง โครงสร้างของบ้านอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. โครงสร้างของฐานราก
2. โครงสร้างของเสาและคาน
3. โครงสร้างของพื้นและบันได
4. โครงสร้างของหลังคา


www.novabizz.com/

ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคของ นายภัทรพงศ์ สุดชาหา